พระพุทธศาสนาคือลมหายใจของแผ่นดิน

Last updated: 29 ก.ค. 2559  | 

พระพุทธศาสนาคือลมหายใจของแผ่นดิน

พระพุทธศาสนาคือลมหายใจของแผ่นดิน

 

ให้มองไป ข้างหน้าอีก ๕๐ ปี โดยกำหนดดูผลแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งละ ๑๐ ปี
พระพุทธศาสนาและในทุก ๑๐ ปีนั้น ก็ยังต้องดูความเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีด้วย จนกว่าจะถึง ๕๐ ปีเพื่อให้คาดการณ์ว่าอีก ๕๐ ปีข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งนั้น จะเกิดขึ้นกับ พระพุทธศาสนาอย่างที่เคยขึ้นในอดีต แล้ว เราจะทำอย่างไร มองให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอดีต ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ของสังคมและของโลกโอวาทในโอกาสที่ส่งพระสงฆ์ไปดูงานพระพุทธศาสนาในต่างประเทศณ ประเทศในแถบสแกนดิเนเวียพุทธศักราช ๒๕๔๗

พระพุทธศาสนาในเมืองมีภัยรอบด้าน
ในโลก ปัจจุบัน การจะรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้ได้นั้น จำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องให้พระเณรได้มีความรู้ มีการศึกษาทั้งธรรมะและวิชาการทางโลก ความรู้อย่างพระก็ต้องรู้ เพราะเป็นเรื่องพระศาสนา แต่ก็ต้องรู้ความรู้ชาวบ้านเขาด้วย ในขณะเดียวกัน ก็ต้องมีการวางแผน เพื่อให้พระพุทธศาสนา ไปอยู่ตามประเทศต่างๆ ทั่วโลก

ผู้ที่จะ รับภาระหน้าที่อันหนักหน่วงนี้ได้ ก็คือ พระเณรนั่นเอง จึงจำเป็นจะต้องให้พระเณรมีการศึกษา รู้เท่าทันสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

"อายุ ยังน้อยต้องเรียน เรียนอะไรก็ได้ ที่ไม่ขัดต่อพระธรรมวินัย อย่าอยู่เฉยๆ เพราะพระเณรจะต้องรับภาระธุระพระศาสนา แต่หลวงพ่อแก่แล้ว คนแก่จะทำอะไรได้ แค่ให้หายใจอยู่เฉยๆ ก็ยังแย่แล้ว"

พระพุทธ ศาสนาในเมืองไทยมีภัยรอบด้าน ซึ่งกำลังแทรกเข้ามาทุกรูปแบบ พระพุทธศาสนาอาจจะล้มครืนลงวันใดก็ได้ แต่พระก็ยังเหมือนปลาอยู่ในน้ำเย็น จึงตายใจว่า พระพุทธศาสนาตั้งมั่นเจริญรุ่งเรืองในเมืองไทย เลยไม่รู้สึกถึงความล่มสลาย ซึ่งกำลังใกล้เข้ามา

"ให้ มองไปข้างหน้าอีก ๕๐ ปี โดยกำหนดดูผลแห่งความเปลี่ยนแปลงครั้งละ ๑๐ ปี และในทุก ๑๐ ปีนั้น ก็ยังต้องดูความเปลี่ยนแปลงในแต่ละปีด้วย จนกว่าจะถึง ๕๐ ปี เพื่อให้คาดการณ์ว่าอีก ๕๐ ปีข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาอย่างที่เคยขึ้นในอดีต แล้ว เราจะทำอย่างไร มองให้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอดีต ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ของสังคม และของโลก"

ความเปลี่ยนแปลงมีอยู่ตลอดเวลา แม้กระทั่งกับพระพุทธศาสนา มิเช่นนั้นแล้ว พระพุทธศาสนาในอินเดีย ในปากีสถาน บังกลาเทศ และในอัฟกานิสถาน เป็นตัวอย่าง ก็คงไม่ล่มสลาย

ถ้าสามารถ มองเห็นความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ของสังคม และของโลก ที่จะเกิดขึ้นในอีก ๕๐ ปีข้างหน้า ก็จะทำให้สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลง ที่จะเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทยได้ด้วย ซึ่งก็คืออนาคตของพระพุทธศาสนาทั้งหมดนั่นเอง

เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นกับพระสงฆ์ที่มหาวิทยาลัยนาลันทาในอดีต จนเป็นเหตุให้พระที่ยอมสละชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา ต้องถูกฆ่าตายหมู่พร้อมกันมากกว่า ๘,๐๐๐ องค์[๑] เหตุการณ์นี้ เป็นสิ่งที่พระและชาวไทยควรจะนำมาเตือนสติยู่เสมอว่า “อย่าประมาท” อย่านึกว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธ มองไปที่ไหน ก็มีแต่วัด มองไปที่ไหน ก็เห็นแต่จีวรเหลืองอร่าม แล้วเหตุการณ์อย่างมหาวิทยาลัยนาลันทา จะเกิดขึ้นไม่ได้ “น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย” ชั่วเพียงวินาทีเดียว ทุกอย่างก็พลิกได้

(ภาพประกอบ)

"นี่มองอย่างประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์มันมีมันเกิดมาแล้ว อย่าประมาท ต้องเตรียมพร้อมอยู่เสมอ"

การพัฒนาประเทศไทย ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทางบ้านเมือง ไม่เว้นแม้กระทั่งพระพุทธศาสนา

ที่จริง การพัฒนาประเทศไทยที่ เรียกว่า “ความเจริญ” อย่าง ที่เราเห็นในปัจจุบัน เพิ่งเริ่มมาได้ ๕๐ ปีนี้เอง ให้รู้ว่า ๕๐ ปีที่ผ่านมายังเปลี่ยนแปลงไปขนาดนี้ ถ้าลองนับต่อไปอีก ๕๐ ปีข้างหน้าจะเปลี่ยนแปลงไปขนาดไหน เปลี่ยนสมัยก่อนนั้น มันเปลี่ยนแปลงช้า ระยะเวลา ๑๐ ปีสมัยก่อน เท่ากับ ๑ ปีในปัจจุบัน และ ๑๐ ปีสมัยก่อน เดี่ยวนี้ก็เพียงปีเดียวเท่านั้นเอง นี่ความเปลี่ยนแปลงเร็วอย่างนี้

ทุกวันนี้ ให้ดูความเปลี่ยนแปลงวันต่อวัน “ให้จำคำหลวงพ่อไว้” ไม่เกิน พ.ศ. ๒๕๙๔ บ้านเมืองจะไม่ใช่อย่างนี้แล้ว ถึงปีนี้นับไปอีกก็เท่ากับ ๕๓ ปี เหตุการณ์ต่างๆ จะเปลี่ยนแปลงไปมาก ลองคิดดูว่าถ้านับไปอีก ๕๓ ปีข้างหน้า ความเปลี่ยนแปลงของสังคมจะเป็นไปถึงขนาดไหน ความจริงที่จะพูดอย่างนี้ คิดอย่างนี้ และเตรียมการวางแผนเพื่ออนาคตอย่างนี้ ไม่ใช่พวกเราพระหนุ่มเณรน้อยหรอก

"แต่ว่าต้องเป็นพระระดับมหาเถรสมาคม ระดับเจ้าคณะภาคที่จะต้องคิดต้องพูดกัน ถ้าเป็นทางบ้านเมืองก็ต้องเป็นรัฐบาล ที่จะต้องคิดเรื่องพวกนี้ ต้องวางแผนเพื่อ ๕ ปี ๑๐ ปีข้างหน้า" แต่น่าเสียดายที่ไม่มีใครคิดอย่างนี้

๓ ปีที่แล้วหลวงพ่อเคยบอกเอาไว้ว่า ให้ดูช่วง ๑๐ ปีข้างหน้าต่อจากนี้ไปจะเป็นอย่างไร นี่ผ่านมา ๓ ปีแล้ว ยังเป็นถึงขนาดนี้ ยังมีความวุ่นวายเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา กับบ้านเมืองขนาดนี้ ลองคิดดู แล้วอีก ๗ ปีต่อไปจะเป็นอย่างไร อีก ๑๐ ปี หลวงพ่อก็อายุ ๘๘ ปี ถ้าหลวงพ่ออยู่ไปอีก ๑๐ ปี อาจจะไม่ได้นั่งอย่างนี้แล้ว นี่เฉพาะความเปลี่ยนแปลงของสังขารร่างกายคนเรา

แต่ว่า สิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราที่เปลี่ยนแปลงนั้นมันต้องแรงกว่านี้ อย่างพระพุทธศาสนาในเมืองไทยอีก ๕๐ ปี อาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเห็นอยู่ในเวลานี้ก็ได้ ประเทศไทยตรงนี้อาจจะไม่ใช่ประเทศไทย สำหรับพระพุทธศาสนาอีกต่อไปแล้ว

ความไม่เที่ยงพระสอนเก่ง แต่ไม่รู้จักคิด วันข้างหน้าบ้านเมืองมันจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร พระพุทธศาสนาจะเปลี่ยนเป็นอย่างไร ส่วนมากพระไม่ได้คิด สอนเรื่องความไม่เที่ยงอย่างสูงสุด แต่ไม่ได้คิดถึงความไม่เที่ยงอย่างธรรมดาที่อยู่ใกล้ตัว ซึ่งกำลังเกิดขึ้นกับพระพุทธศาสนา

ความไม่เที่ยงสูงสุด พระพุทธเจ้าหมายเอาความไม่เที่ยงของเบญจขันธ์[๓] แต่ความไม่เที่ยงในโลกนี้ เหมือนกันหมดทุกอย่าง เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้ว ก็ย่อมมีผลกระทบทอดกันไปหมด ไม่มากก็น้อย

ความไม่เที่ยงอย่างธรรมดาที่ต้องการให้คิด ก็คือความไม่เที่ยงของพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนาในเมืองไทย ซึ่งมีมาแต่เดิม

เมื่อรู้ ว่ามันจะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน แล้วทำไมเราไม่เตรียมการณ์ เพื่อรองรับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น กับพระพุทธศาสนา อย่างรู้เท่าทัน

แม้การให้ มีพระพุทธศาสนาในต่างประเทศ การสร้างวัดขึ้นในต่างประเทศ การให้พระได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศ ก็เพื่อเตรียมต่อลมหายใจพระพุทธศาสนา ให้อยู่ในโลกต่อไป ไม่ใช่เพื่ออะไร ก็เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชน

"ที่ ทำนี้ก็ทำตามพระพุทธเจ้าสอน พระพุทธศาสนาจะอยู่ได้ก็เพราะพุทธบริษัท แล้วพุทธบริษัท คือ ใคร ที่เห็นชัด ก็คือ พระเณร ถ้าพระเณรไม่ทำแล้วใครจะทำ"

ข้อนี้คน ทั่วไปไม่ค่อยเข้าใจ แม้แต่พระระดับมหาเถรสมาคมบางองค์เองก็ยังไม่เข้าใจ ยังคิดไม่ถึง กลับคิดไปว่า พระไปทำไมเมืองนอกเมืองนา พระไปเที่ยวเหมือนชาวบ้าน ไปแล้วก็ผิดศีล รักษาวินัยไม่ได้ ถ้าพระจะผิดศีลผิดวินัยอยู่เมืองไทยก็ผิด ไม่ต้องไปถึงเมืองนอกเมืองนาหรอก แต่ไม่ได้มองให้ทะลุไกลไปกว่านั้น ไม่ได้มองไกลออกไปจนเห็นว่า เพื่อเป็นการอนุเคราะห์โลก อันจะเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่มหาชนเป็นอันมาก

"ไม่ ต้องเอาอื่นเอาไกล ที่เมืองไทย หากพระโสณะพระอุตตระไม่เสียสละเดินทางมา แล้วจะมีพระพุทธศาสนาไหม สุวรรณภูมิ ก็คือ ต่างประเทศของอินเดีย สมัยโน้นนั่นเอง"

หากวัน หนึ่งข้างหน้า เมืองไทยจะไม่มีที่สำหรับพระพุทธศาสนา และจะต้องเป็นเหมือนอย่างที่เกิดขึ้นกับพระที่มหาวิทยาลัยนาลันทาในอินเดีย อย่างน้อยพระพุทธศาสนาก็มีลมหายใจอยู่ต่อไปได้ในต่างประเทศ


(ภาพประกอบ)

อีกร้อยปีเมืองไทยจะไม่มีพระพุทธศาสนาอย่างทุกวันนี้

แต่ ทุกวันนี้เกิดขึ้นแล้ว เราก็เห็นเพราะดาบที่ฟันคอเณรอายุ ๑๓ ปี ก็เป็นดาบเล่มเดียวกันกับดาบที่ฟันคอพระที่มหาวิทยาลัยนาลันทา ในประเทศอินเดีย เณรน้อยอายุ ๑๓ ปีถือบาตรออกไปเดินบิณฑบาต ไม่มีอาวุธอะไรมีแต่บาตร อยู่ดีๆ ก็เอาดาบมาฟันคอ ไม่รู้ว่าเณรน้อยอายุ ๑๓ ปี ไปมีพิษมีภัยอะไรกับใครจนถึงต้องทำอย่างนั้น

นี่ถ้า เกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนาในเมืองไทย พระไปอยู่ต่างประเทศได้สบาย มีวัดเยอะไปนอนได้ คนอื่นก็ได้วิ่งกันหัวซุกหัวซุน อย่างนี้เรามองไม่เห็น ปัญหามันจะเกิดขึ้นวันหนึ่งข้างหน้าแน่นอน แต่ไม่ได้เกิดวันนี้ เพียงแต่จะเกิดข้างหน้า เอานานหน่อยก็ ๑๐๐ ปี แถวกรุงเทพนี้จะเป็นของใครก็ไม่รู้ คนไทยอาจจะกลายเป็นชนกลุ่มน้อยไป ถ้าไม่คิดกันให้ดี เอานานหน่อย อีก ๑๐๐ ปีเมืองไทยจะไม่มีพระพุทธศาสนาอย่างทุกวันนี้

แม้เมือง ไทยจะยังมีอยู่ แต่ก็จะไม่มีพระพุทธศาสนา ไม่ใช่ไม่มีพระพุทธศาสนาเลยนะ แต่ไม่มีพระพุทธศาสนาอยู่ในลักษณะอย่างปัจจุบันนี้ แต่จะอยู่ในอีกลักษณะหนึ่ง อย่างหลวงพ่อนี่ไม่ทันได้เห็นหรอก แต่พวกเราไม่แน่

"แต่ก็มีข้อแม้ว่า ถ้าคิดให้ดีแก้ให้ดี ก็อาจจะยืดออกไปได้อีกหน่อย อย่างหลวงพ่อไม่ทันหรอก"

พูดถึง ความเปลี่ยนแปลง วัดสระเกศเมื่อหลวงพ่อมา ทีแรกถนนยังไม่มี รถยนต์เข้าวัดไม่ได้ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ที่หลวงพ่ออยู่ด้วย ท่านพูดว่าถ้ารถยนต์เข้ามารับถึงบันไดกุฏิได้เมื่อไร จะไปสระบุรีไหว้พระบาท

หลวงพ่อ พริ้งท่านเป็นอาจารย์หลวงพ่อ และท่านก็เป็นเพื่อนกับเจ้าคุณธรรมเจดีย์ด้วย สมัยนั้นมีโยมศรัทธาจะพาท่านไปไหว้พระบาทที่สระบุรี จึงมานิมนต์ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ไปด้วย ท่านก็บอกว่า ถ้ารถเข้ามารับได้ถึงหัวบันไดกุฏิเมื่อไร จึงจะไป

สมัยนั้น ไปสระบุรีไหว้พระบาทต้องออกตั้งแต่ ๖ โมงเช้า บ่ายจึงถึง ไหว้เสร็จแล้วกลับถึงกรุงเทพก็พอดีค่ำ เพราะทางสมัยนั้นลาดยางไปถึงแค่รังสิต เลยนั้นไปเป็นลูกรังทั้งนั้น รถสมัยนั้นเป็นรถสองแถวแบบสี่ล้อเท่านั้น ถ้าเดี๋ยวนี้ไปกลับ ๑๐ เที่ยวก็ยังไม่มืด

ภายในวัด สระเกศสมัยนั้นสภาพไม่ได้เป็นอย่างนี้ ถนนสำหรับเดินในวัดทำด้วยอิฐวางซ้อนเรียงเป็นแถว ถ้าเป็นต่างประเทศ เช่น ที่ฝรั่งเศส ถนนทำด้วยอิฐอย่างนี้ถือว่ามีคุณค่ามาก หลวงพ่อเป็นเณรเข้ามาในวัดครั้งแรกรู้สึกแปลก เพราะวัดเป็นตึก ๒ ชั้น ทำไมวัดเป็นอย่างนี้ คิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกมา พระโผล่หน้าออกมาทางหน้าต่างมองดู ท่านคงสงสัยว่าเป็นใคร เพราะได้ยินเสียงเท้าเดินผ่านเข้ามานึกว่า เอ๊ะ! ทำไมพระอยู่กันอย่างนี้ เพราะเคยอยู่กุฏิแบบพระในต่างจังหวัด จำได้เลย เป็นเณร ตอนนั้นอายุ ๑๓ ย่าง ๑๔ ขวบเท่านั้น

ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ เกิดสงครามโลก ทหารเอาปืนใหญ่ ปตอ.(ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน) มาตั้งรอบภูเขาทอง พวกเณรก็สนุกมาดูปืนใหญ่กัน ตามประสาเด็ก มีระเบิดมาทิ้งภูเขาทอง แต่ไม่ถูก ระเบิดไปตกที่สะพานผ่านฟ้า น่าอัศจรรย์ ภูเขาทองออกใหญ่โตไม่น่าจะพลาด คงเป็นพระบารมีพระธาตุ ตอนนั้น ท่านพลเอกประมาณ อดิเรกสาร เป็นทหารม้า มียศพันโท เอาม้ามาเลี้ยงที่ลานพระวิหาร ท่านจึงคุ้นเคยกับที่วัดมาจนถึงปัจจุบัน

พอปี พ.ศ. ๒๔๘๕ น้ำก็ท่วมกรุงเทพฯ จึงรู้ว่าบริเวณวัดสระเกศนั้นสูง เพราะที่อื่นน้ำท่วมมาก แต่วัดสระเกศน้ำท่วมน้อย บริเวณภูเขาทองไม่ท่วมเลย

ที่เล่ามา อย่างน้อย พวกเราจะได้รู้ว่าความเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างไร

ตอนนี้ อิทธิพลของพระมหากษัตริย์ยังอยู่ จึงทำให้พระพุทธศาสนาในเมืองไทย ยังเปลี่ยนปลงช้ากว่าสิ่งอื่น แต่ต่อไปจะเปลี่ยนแปลงเร็ว ต่อไปสังคมจะหมุนเร็ว พระศาสนาก็จะเปลี่ยนแปลงเร็วตามไปด้วย จะไม่ใช่อย่างทุกวันนี้แล้ว

ทุกวันนี้ พระเณรยังได้เรียนนักธรรม เรียนภาษาบาลี และในหลวงยังพระราชทานสมณศักดิ์ ยังได้เป็นพระครู เป็นเจ้าคุณ ต่อไปข้างหน้าจะไม่มีอย่างนี้แล้ว แต่นั่นก็ไม่ใช่หลักที่สำคัญ หลัก ที่สำคัญนั่น ก็คือ การศึกษา ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงที่เร็ว สิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือพระเณรต้องมีการศึกษา จึงจะนำพาพระพุทธศาสนาให้อยู่รอดได้

ดังนั้น ในอนาคตมหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่ง จะต้องเป็นหลักให้พระเณรได้ศึกษาเล่าเรียน มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้จะเรียนอะไรกันอย่างไร เลยกลายเป็นพระพุทธศาสนาไร้หลัก ถ้าไม่มีการเรียนการสอนเป็นของเราเอง ก็ต้องไปเรียนกับของชาวบ้าน ถ้าไปเรียนกับชาวบ้าน เณรกับเด็กจะต่างอะไรกัน

ไม่ต้องอื่นไกล ก็เหมือนประเทศเพื่อนบ้าน เมื่อสถาบันศาสนาไม่มี พระเณรก็ต้องไปเรียนร่วมกับชาวบ้าน พ.ศ. ๒๕๑๘ ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง วินาทีเดียวเท่านั้นเปลี่ยนหมด ล้มระบบพระมหากษัตริย์หมด ล้มระบบศาสนาหมด ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่มีสถาบันพระพุทธศาสนา แล้วพระเณรต้องไปเรียนกับชาวบ้านเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป ตื่นเช้าก็ต้องสะพายย่ามถือร่มถือกระเป๋าไปโรงเรียน ไปยืนเข้าแถวร้องเพลงชาติเหมือนเด็กชาวบ้านคนหนึ่ง แล้วอย่างนี้ศาสนาจะเหลืออะไร พระเณรถูกสั่งให้เลิกเรียนอย่างพระ แล้วให้ไปเรียนอย่างชาวบ้าน พระเณรเลิกการเรียนธรรมเรียนวินัยแล้วจะเหลืออะไร อย่างนี้พระศาสนาก็หมด แม้แต่พระมหากษัตริย์ หากไม่หนีออกนอกประเทศ ก็ถูกส่งออกไปท้องนาทำการกสิกรรม อย่างชาวบ้านทั่วไป

นี่ประเทศเพื่อนบ้านเรานี่เอง

หลวงพ่อ จึงได้บอกมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย และมหามกุฏราชวิทยาลัยว่า มหาวิทยาลัยสงฆ์ทั้ง ๒ แห่งนี้ ต้องทำให้เป็นหลักเข้าไว้ ต้องเป็นหลักในการให้การศึกษาแก่พระเณร หาไม่แล้วพระพุทธศาสนาในเมืองไทย ก็จะไม่ต่างอะไรจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก็เห็นกันอยู่แล้ว

----------------------------------------------

[๑]มหาวิทยาลัยนาลันทา เป็นมหาวิทยาลัยทางพระพระพุทธศาสนา ตั้งอยู่ที่นาลันทคาม บ้านเกิดพระสารีบุตร เพื่อเป็นอนุสรณ์ แด่ พระสาวกองค์สำคัญของพระพุทธเจ้า มหาวิทยาลัยนาลันทา รุ่งเรืองมาจนถึงพุทธศตวรรษที่ ๑๗ หรือ ราว ๑๗๐๐ ปี หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพาน ก็ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ โดยกองทัพมุสลิมเตอร์ก เฉพาะที่มหาวิทยาลัยนาลันทา มีพระสงฆ์ถูกทหารมุสลิมเตอร์กฆ่าตายกว่า ๘,๐๐๐ รูป

[๒]พระสงฆ์ทั่วประเทศไทย รวมเรียกว่า “สังฆมณฑล” มีองค์กรปกครองสูงสุด เรียกว่า “มหาเถรสมาคม” แบ่งการปกครอง ออกเป็นระดับชั้น ดังนี้ เจ้าคณะหน เจ้าคณะภาค เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล และเจ้าอาวาส มีกฏหมายรองรับสถานะองค์กรปกครองสงฆ์ เรียกว่า “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์”พระ ราชบัญัติคณะสงฆ์ ถูกตราขึ้นใช้เป็นครั้งแรก ในสมัยราชการที่ ๕ มีชื่อว่า “พระราชบัญญัติลักษณะการปกครองสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑” และเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย จึงเปลี่ยนเป็น “พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.๒๔๘๔

[๓]เบญจขันธ์ แปลว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป (ดิน น้ำ ลม ไฟ) เวทนา (ความรู้สึกสุขทุกข์) สัญญา (ความจำได้หมายรู้) สังขาร(การปรุงแต่ง) วิญญาณ (การรับรู้) ความไม่เที่ยงแห่งเบญจขันธ์ หมายถึง ความไม่เที่ยงแห่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ

----------------------------------------------
ที่มา: เย็นหิมะในรอยธรรม (สมเด็จพระพุฒาจารย์ เกี่ยว อุปเสโณ)

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้